Mindfulness: พลังแห่งการตื่นรู้ ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

สติ (mindfulness) เป็นตัวแปรสำคัญในการทำความรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เรามองเห็นความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตนเองได้อย่างชัดเจน โดย “สติ” ตามความหมายของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลที่สามารถใส่ใจต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะ โดยส่งผ่านจากขณะหนึ่งสู่อีกขณะหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยท่าทีที่เปิดรับ ยอมรับประสบการณ์โดยไม่ประเมิน วิเคราะห์ หรือรีบตัดสิน ซึ่งเป็นการยอมรับต่อประสบการณ์นั้น ๆ อย่างสมบูรณ์
 
เมื่อเรามีสติรู้ตัวในทุกขณะจิตที่ตื่น เราจะสามารถแยกแยะระหว่างความต้องการที่แท้จริงของร่างกายและจิตใจ กับอารมณ์หรือความอยากที่เกิดขึ้นชั่วคราวได้ดีขึ้น และจากจุดนี้เอง เราจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งความคิด คำพูด และการกระทำให้เป็นไปในทิศทางที่ตอบโจทย์ตัวเองมากขึ้น
 
ตัวอย่างเช่น วันนี้ผมรู้สึกหิวในตอนกลางวัน แต่ก็รู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ ความคิดแรกที่เข้ามาคือ “ยังไงก็ต้องกินเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น” แต่เมื่อพิจารณาต่อไป ผมพบว่าถ้าจะเลือกอาหาร ผมอยากให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และตอบโจทย์สุขภาพของตัวเองในระยะยาวมากกว่าการเลือกเพียงเพราะความอยาก ณ ขณะนั้น ผมคิดว่าอยากได้คาร์บจากน้ำกล้วยปั่น แต่ในเรื่องโปรตีนยังไม่มีคำตอบชัดเจน จึงเดินสำรวจร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อฟังร่างกายว่าต้องการอะไร
 
เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ พบว่าผมไม่อยากกินเนื้อสัตว์เลย แต่ถ้าเป็นเต้าหู้ก็น่าจะดี อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึงร้านอาหารมังสวิรัติที่ขายเต้าหู้ กลับไม่รู้สึกอยากกิน สุดท้าย ผมเดินไปถึงร้านขายข้าวแกงและเห็นว่ามีพะโล้ ซึ่งในตอนนั้นรู้สึกว่า “นี่แหละที่กินได้” ผมจึงเลือกพะโล้ ได้ไข่สามฟอง เต้าหู้สองฟอง และเลือกน้ำกล้วยปั่นเป็นคาร์บ
 
ผลลัพธ์คือ มื้อนี้ให้สารอาหารที่ครบถ้วน โปรตีนและไขมันจากไข่และเต้าหู้ ส่วนคาร์บได้จากกล้วย นอกจากจะได้สารอาหารที่จำเป็นแล้ว ยังช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลและลดปริมาณแป้งที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของผมในการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าผมไม่มีสติหรือ mindfulness คอยกำกับการตัดสินใจ
 
สิ่งที่เห็นได้จากตัวอย่างนี้คือ การมีสติช่วยให้เราเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเองได้ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องอาหาร แต่รวมถึงทุกด้านของชีวิต เมื่อเราตระหนักรู้ถึงกระบวนการคิดและความรู้สึกของตัวเอง เราจะตัดสินใจได้ตอบโจทย์ตัวเองมากขึ้น ไม่ถูกชักจูงด้วยอารมณ์หรือความเคยชินเพียงอย่างเดียว ซึ่งนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *